ผู้ที่ประสบความสำเร็จ เป็นเจ้าคนนายคนชอบคิดแบบงี้

Previous topic - Next topic

Beer625

ในตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียน หลายคนต่างเชื่อเสมอว่าหากได้ตั้งใจเรียน สอบติดแผนกที่ใช่

ยิ่งได้โอกาสได้งานที่ดี ค่าจ้างรายเดือนที่ดี รวมทั้งยิ่งเป็นอาชีพที่คนไหนก็รู้จักยกตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่รัฐ, วิศวกร


นักธุรกิจยิ่งน่าภาคภูมิไปใหญ่ เพราะว่านอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้ ส ม น้ำ ส ม เ นื้ อ มีหลายชิ้นพอที่จะอุดหนุน


ครอบครัวได้ มีผลประโยชน์รองรับให้สุขสบายยังเป็นอาชีพที่ถือว่า "มีหน้ามีตา" คนไหนกันก็ต้อนรับกันหมด

แต่ในโลกของเรื่องจริงแล้ว อาชีพที่ "มีหน้ามีตา" ในสังคม ไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอ

และก็ในแต่ละอาชีพ เขาก็มีการกำหนดอัตรารับสมัครแต่ละปีที่ค่อนข้างจำกัดน่ะสิ !

"แล้วจะเรียนไปเพราะอะไร ถ้าท้ายที่สุดก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/ งานที่น้อยคนจะรู้จัก/ เงินเดือนที่มิได้ล้นหลามอะไร ?"

ปริศนานี้จะได้คำตอบที่ เ ค รี ย ด มากมายเลย เนื่องจากมันเต็มไปด้วยความมุ่งหวังที่มีความคิดว่า

"พวกเรามีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต" แม้กระนั้นถ้าหากทดลองเปลี่ยนเป็นความนึกคิด "ฉันปฏิบัติงานอะไรก็ได้


ไม่ว่าจะตรงสายหรือไม่ก็ตาม" มันบางทีอาจมองประโยคขี้แพ้ในสายตาบางคน


แต่ว่าหากคิดๆดูแล้ว มันรู้เรื่องพอใจ เยอะกว่าการตั้งข้อซักถามแบบแรกเพราะเหตุว่าข้อเท็จจริงของชีวิตคือ

1. มนุษย์ทุกคนมีความสามารถในตนเอง "ผิดแผก" กันไปเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก่งแบบเดียวกันหมด

2. ในรั้วสถานที่เรียน- ม ห า วิ ท ย า ลั ยต่อให้เราได้เรียนกับคุณครูที่เก่งแค่ไหน

ขอบเขตวิชาความรู้มันก็เป็นเพียงแค่ความรู้ในรั้วเพียงแค่นั้นโลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น เรายังจำเป็นต้องทราบเรื่องอีกมากมาย

เรียนรู้กันอีก ย า ว ลองถูกลองผิดกันอีกมากมายดังนั้น จะมา ฟั น ธ ง ว่าเรียนมาสายวิทย์

จำต้องปฏิบัติงานสายวิทย์ เรียนสายภาษาจำเป็นต้องทำงานสายภาษา มันก็ไม่ถูกเสมอ

3. มันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราจำเป็นจะต้องวิ่งตามหาสิ่งที่ "ใช่"

ค่อยๆทำความเข้าใจ ค่อยๆปรับนิสัยไป สิ่งที่เรากำลังสนุกในเวลานี้ บางทีอาจจะยังไม่ใช่ที่สุด

สิ่งที่เราเก่งขณะนี้ ในในภายหน้า มันอาจเป็นแค่เพียงความทรงจำ

เนื่องจากอาจมีหลายเหตุให้คิดมากขึ้น เป็นต้นว่า ต้องพับโครงการศึกษาต่อเอาไว้

เนื่องจากเงินน้อยเกินไปจำเป็นต้องทำงานหาเงินก่อน แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยไปเรียนศิลป์ที่พวกเราถูกใจ ...

พวกเราจะต้องมองจังหวะของชีวิตด้วย (ความจำเป็นของชีวิตแต่ละตอน


4. สิ่งที่เราเรียนมาเป็นสิบเป็นร้อยกว่าวิชา มันเป็น "การหล่อหลอม" หลายวิชามิได้

สอนเราทางตรง แต่ว่าให้พวกเราเบาๆซึมจุดเด่นแต่อย่างไปเอง อย่างเช่น ฝึกหัดความทรหดอดทน, ฝึกฝนความละเอียดอ่อน,

ฝึกความสามารถการเข้าสังคมในคราวหนึ่งที่เราไม่เห็นผลดีว่าจะใช้อะไรได้จริง พอโตขึ้นอีกหน่อย

มันก็ควรจะมีบ้างแหละที่พวกเรานึกอะไรขึ้นมาจนกระทั่งจำต้องไปหา อ่ า น ปัดฝุ่นแบบเรียนอีกครั้ง

ทุกวิชาความรู้ที่พวกเราได้รับ ไม่เคยสูญเปล่า เพียงแค่พวกเรามองไม่เห็นค่ามันเอง ลองนึกถึงให้ดีสิ !

5. มนุษย์เราควรมีโอกาสให้กับชีวิตไว้หลายด้าน หรือ "มีแผนสำรอง"

เพื่อไม่เป็นการปิ ด กั้ นตัวเองจนเหลือเกิน อาทิเช่น ถ้าหากวุฒิที่พวกเราเรียนมามันหางาน ย า ก จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำกว่านี้หางานไปก่อน?

หากพวกเรามิได้อาชีพนี้ เรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆก่อน?

ความฝันสิ่งที่ใช่ มันไม่ควรเป็นสิ่งที่ได้ราวกับใจในทันทีมันเป็นเรื่องธรรมดามากมายๆที่จำต้องแลกเปลี่ยนกับความเมื่อยล้า

ความ พ ย า ย า ม หลายเท่าตัว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเกิดจะพบว่าเพราะอะไร ห ม อ

บางคนถึงเขียนเพลงได้?

เพราะเหตุไรบางคนเรียนวิชาชีพแม้กระนั้นมาเป็นนักแสดง?

เพราะเหตุใดบางคนเรียนไม่จบแม้กระนั้นไปถึงเป้าหมาย?

ถ้าเกิดยังไม่เข้าในข้อนี้ ทดลองย้อนกลับไป อ่ า น ข้อ 4 อีกครั้งขึ้นชื่อว่า "วิชาความรู้" พวกเราได้รับมา

ถึงจะไม่ใช้ในทันทีทันใดก็ไม่สมควรเสียดาย ขึ้นชื่อว่า "ความฝัน" ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้

ใช่ว่าวันหน้าจะเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆว่า... "รู้สึกตัวดีไหมว่าทำอะไรอยู่?" และ

"พร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์ชีวิตรึเปล่า?"

อย่ าลืมว่า...โลกพวกเรากลม และก็มีหลายมิติ ใช่ว่าจำเป็นที่จะต้องมองเพียงแต่ด้านเดียว
ทำงานไม่ตรงสาย
ขอบคุณบทความจาก https://freelydays.com/13507/
Tags : ข้อคิดชีวิต