Article#📢 F87F3 เบื้องต้นวิศวกรรมรากฐาน: ความสำคัญรวมทั้งการปรับใช้ในการก่อสร้าง

Previous topic - Next topic

Panitsupa

วิศวกรรมโครงสร้างรองรับ (Foundation Engineering) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการก่อสร้างที่ช่วยให้ส่วนประกอบตึกหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆมีความมั่นคงยั่งยืน ไม่เป็นอันตราย แล้วก็สามารถใช้งานได้อย่างยั่งยืน โครงสร้างรองรับเปรียบพื้นฐานของต้นไม้ที่ช่วยกระจายน้ำหนักของส่วนประกอบสู่พื้นดิน ทำให้อาคารสามารถต่อต้านแรงที่เกิดขึ้นจากต้นสายปลายเหตุต่างๆดังเช่น แรงลม แรงสั่นสะเทือน และน้ำหนักบรรทุกของตึกเอง ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจถึงจุดสำคัญของวิศวกรรมฐานรากและก็การประยุกต์ใช้งานในด้านต่างๆของการก่อสร้าง



✅⚡👉จุดสำคัญของวิศวกรรมรากฐานในงานก่อสร้าง

ฐานรากเป็นส่วนแรกที่ถูกผลิตขึ้นในองค์ประกอบ เพื่อสามารถรองรับน้ำหนักทั้งปวงของตึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดสำคัญของวิศวกรรมฐานรากมีดังนี้:

1.ผู้กระทำระจายน้ำหนักขององค์ประกอบ
โครงสร้างรองรับทำหน้าที่กระจัดกระจายน้ำหนักของอาคารจากองค์ประกอบด้านบนสู่พื้นดิน ลดความเสี่ยงต่อการทรุดตัวหรือการเสียหายของอาคาร

2.การปกป้องคุ้มครองการเคลื่อนของส่วนประกอบ
โครงสร้างรองรับที่ออกแบบอย่างเหมาะสมจะช่วยลดการเคลื่อนตัวของตึกในสิ่งแวดล้อมที่มีแรงกระทำด้านนอก เป็นต้นว่า แรงแผ่นดินไหวหรือแรงจากอุทกภัย

3.เพิ่มความมั่นคงและยั่งยืนให้กับโครงสร้าง
การเลือกใช้โครงสร้างรองรับที่เหมาะสมกับภาวะดินและส่วนประกอบจะช่วยเพิ่มความมั่นคงยั่งยืนให้กับตึก แล้วก็ลดความเสี่ยงต่อการชำรุดทลาย

-------------------------------------------------------------
บริการ Soil Test | บริษัท เอ็กซ์เพิร์ท ซอยล์ เซอร์วิส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
บริษัท ทดสอบดิน บริการ Boring Test วิเคราะห์และทดสอบตัวอย่างดิน ทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็ม (Seismic Integrity Test)

👉 Tel: 064 702 4996
👉 Line ID: @exesoil
👉 Facebook: https://www.facebook.com/exesoiltest/
👉 Website:  เจาะสํารวจดิน
👉 Map: เส้นทาง
-------------------------------------------------------------

📢🎯⚡ชนิดของรากฐานในการก่อสร้าง

ในงานวิศวกรรมโครงสร้างรองรับ มีการแบ่งฐานรากออกเป็นสองชนิดหลัก อย่างเช่น ฐานรากตื้น (Shallow Foundation) และฐานรากลึก (Deep Foundation) โดยแต่ละชนิดมีการใช้งานที่นานับประการตามลักษณะส่วนประกอบและภาวะดิน

1.ฐานรากตื้น (Shallow Foundation)
ฐานรากชนิดนี้เหมาะกับส่วนประกอบที่มีน้ำหนักไม่มากมาย และดินที่มีความแข็งแรงเพียงพอ โครงสร้างรองรับตื้นจะวางอยู่ใกล้กับผิวดิน ได้แก่ รากฐานแผ่ (Spread Footing) แล้วก็รากฐานแถบ (Strip Footing) การใช้โครงสร้างรองรับตื้นช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายแล้วก็เวลาสำหรับเพื่อการก่อสร้างได้

2.ฐานรากลึก (Deep Foundation)
สำหรับส่วนประกอบที่มีน้ำหนักมากมาย หรือสภาพดินที่ไม่แข็งแรง การใช้รากฐานลึก เป็นต้นว่า เสาเข็ม (Pile Foundation) จะช่วยกระจายน้ำหนักของโครงสร้างไปยังชั้นดินที่มีความแข็งแรงอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน รากฐานชนิดนี้เหมาะกับการก่อสร้างที่อยากได้ความยั่งยืนมั่นคงสูง เช่น อาคารสูงรวมทั้งสะพานขนาดใหญ่

🦖🌏🥇การออกแบบรากฐาน: วิธีการที่สำคัญ

การออกแบบรากฐานในวิศวกรรมจำต้องคิดถึงหลายต้นเหตุ อย่างเช่น น้ำหนักบรรทุก ภาวะดิน รวมทั้งแรงข้างนอกที่บางทีอาจกระทำต่อโครงสร้าง วิธีการสำคัญสำหรับเพื่อการออกแบบฐานราก ยกตัวอย่างเช่น:

1.การสำรวจสภาพดิน
การเจาะตรวจสอบดิน (Soil Boring Test) รวมทั้งการทดสอบดิน เช่น การทดสอบความแน่นของดิน (Soil Compaction Test) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยทำให้วิศวกรสามารถประเมินความสามารถสำหรับการรับน้ำหนักของดินได้

2.การคำนวณน้ำหนักบรรทุก
จำต้องคำนวณน้ำหนักของส่วนประกอบรวมทั้งน้ำหนักบรรทุกอื่นๆอาทิเช่น รถยนต์หรือเครื่องมือหนัก เพื่อเลือกใช้ฐานรากที่เหมาะสม

3.การเลือกอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง
วัสดุที่ใช้เพื่อการสร้างรากฐาน ยกตัวอย่างเช่น คอนกรีตและก็เหล็กเสริม ต้องมีคุณภาพแล้วก็มาตรฐานที่เหมาะสมกับการใช้แรงงาน

4.การออกแบบที่สอดคล้องกับมาตรฐาน
วิศวกรต้องทำตามมาตรฐานที่กำหนด ดังเช่นว่า มาตรฐานการก่อสร้างแห่งชาติ เพื่อให้มีความปลอดภัยแล้วก็ความยืนยงขององค์ประกอบ

🛒⚡📌การปรับใช้วิศวกรรมโครงสร้างรองรับในการก่อสร้าง

วิศวกรรมฐานรากมีการปรับใช้ในงานก่อสร้างหลายชนิด ตั้งแต่อาคารที่อยู่อาศัยจนถึงส่วนประกอบที่มีความซับซ้อน ดังเช่นว่า:

1.ตึกที่อยู่ที่อาศัย
การเลือกใช้รากฐานแผ่สำหรับบ้านชั้นเดี่ยวหรืออาคารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนดินที่แข็งแรง

2.อาคารสูง
การใช้เสาเข็มสำหรับการก่อสร้างอาคารสูงเพื่อเพิ่มความยั่งยืนและมั่นคงและก็รองรับน้ำหนักมากไม่น้อยเลยทีเดียว

3.สะพานรวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ
ฐานรากลึก อย่างเช่น เสาเข็มตอกหรือเสาเข็มเจาะ ถูกประยุกต์ใช้ในส่วนประกอบที่จะต้องรับแรงจากน้ำหนักแล้วก็แรงปฏิบัติจากธรรมชาติ

4.งานก่อสร้างในพื้นที่ดินอ่อน
สำหรับพื้นที่ที่ดินมีความแข็งแรงต่ำ การใช้เทคโนโลยีเสริมความแข็งแรงของดินร่วมกับรากฐานลึกจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับเพื่อการรับน้ำหนัก

🌏📢📢บทสรุป

วิศวกรรมฐานรากเป็นหัวใจหลักที่ไม่อาจมองข้ามในการก่อสร้าง ฐานรากที่วางแบบอย่างเหมาะควรไม่เฉพาะแต่ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับองค์ประกอบ แต่ว่ายังช่วยลดการเสี่ยงต่อความย่ำแย่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การเลือกใช้รากฐานที่สอดคล้องกับสภาพดินและประเภทของส่วนประกอบ รวมถึงการกระทำตามหลักทฤษฎีวิศวกรรมแล้วก็มาตรฐานที่เกี่ยวโยง จะช่วยทำให้การก่อสร้างบรรลุเป้าหมายได้อย่างยั่งยืนและไม่มีอันตราย

วิศวกรรมฐานรากไม่ได้เป็นเพียงแต่ศาสตร์ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างเพียงแค่นั้น แต่ยังเป็นฐานรากของความยั่งยืนและมั่นคงแล้วก็ความปลอดภัยของส่วนประกอบทั้งปวงในโลกของเรา
Tags : มาตรฐานการเจาะสำรวจดิน

Panitsupa